Monday, July 14, 2014

การต่อสู้ของทีวีดาวเทียม เมื่อถูกระงับสัญญาณ



เป็นคำถามจาก ASTV ว่า "ถ้า ASTV จะถูกปิดตาย ก็ขอสู้จนถึงลมหายใจสุดท้าย"
ซึ่งเป็นอีกข่าวสารที่น่าสนใจ ขออนุญาตบันทึกไว้ และแบ่งปัน

http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?newsid=9570000078608

12 กรกฎาคม 2557 06:05 น. ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับว่าเป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ระงับสัญญาณการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ซึ่งแน่นอนว่า ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นเรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติหนัก โดยเฉพาะพนักงานหลายร้อยชีวิตที่ต้องเผชิญกับรายได้ที่ติดขัดจนต้องฝันฝ่าอุปสรรคที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ทั้งขายผลไม้ ขายแซนด์วิช รวมไปถึงจัดทริปท่องเที่ยว เพื่อหารายได้มาจุนเจือพนักงาน
      
       อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า รายได้ที่ระดมมาในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้มีสภาพคล่องมั่นคงที่จะอยู่ได้นานนัก จึงทำให้ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้นำพนักงาน ASTV ไปจัดคาราวานตั้งบูทขายสินค้าภายใต้ชื่อ “ASTV ฝ่าวิกฤติ เพื่อให้ ASTV ผ่านวิกฤติไปให้ได้” บนถนนสีลมทั้ง 10 จุด เพื่อหารายได้มาจ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานอีกครึ่งหนึ่ง
      
       ทั้งนี้ ASTV ได้ตั้งบูทตั้งแต่หน้าโรบินสัน หน้าศาลาแดง สีลมคอมเพล็กซ์ หน้าตึก C.P. Tower และหน้าธนาคารกรุงเทพ โดยสินค้าที่วางจำหน่ายก็จะเป็นน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น น้ำมันมะพร้าวปรุงอาหาร ผลิตภัณฑ์งาดำสกัด เครื่องทำน้ำ ด่าง และกระติกทำน้ำด่าง
      
       กระนั้นก็ตาม ความลำบากที่ ASTV เผชิญอยู่ สำหรับการออกมาตั้งบูทในครั้งนี้ก็ยังมีมือของประชาชนที่เป็นเสมือนกำลังใจ ช่วยสนับสนุนซื้อน้ำมัน มะพร้าว ติดไม้ ติดมือ บ้างก็ขอถ่ายรูปและเรียกร้องว่า เมื่อไหร่พวกเขาจะได้ดู ASTV เพราะตั้งแต่ ASTV ถูกปิดไปก็ไม่รู้ว่าจะหาความจริงจากที่ไหนได้อีก
      
       “ เราขาดข่าวสารมากเลยนะ เพราะ ASTV เป็นอะไรที่พูดความจริง ขาดไปก็เหมือนกับว่าน่าจะเป็นปัจจัยที่ห้าที่หกแล้วมั้งสำหรับประชาชนที่จะได้รับรู้ข่าวสาร ส่วนที่เขาบอกว่าเป็นสื่อแห่งความแตกแยก เรามองว่าเป็นสื่อแห่งความจริงต่างหาก รัฐบาลไม่ยอมรับเองแหละ ถ้ายอมรับความจริงประเทศชาติคงไม่วิบัติถึงทุกวันนี้ เราอยากจะให้ ASTV อยู่กับเราต่อไป ประชาชนจะได้รู้ความจริง เราไม่รู้ว่าจะหาความจริงจากที่ไหนได้อีก ไม่งั้นก็ถูกปิดหู ปิดตา เราไม่รู้ว่าข่าวสารที่เสนออยู่ทุกวันนี้จริงมากน้อยแค่ไหน”
      
       “ในส่วนทหารที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนเราก็มองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าเราก็ไม่รู้เบื้องหลังเป็นยังไง อยากให้เปิด ASTV เร็วๆ แล้วก่อนหน้านี้ปกติเราจะเปิดดู ASTV ติดตามข่าวสารบ้านเมืองทุกวัน ดูตั้งแต่มวลชน กปปส.ชุมนุม แล้วอีกอย่างคุณยายเราก็ชอบมาก คุณยายเขาโทร.ไปที่ศูนย์ติดตั้งดาวเทียม ASTV เลยนะ แล้วก็บอกว่าดูไม่ได้เลย ทำไมถึงปิด พอเราโทร.ไปถามเขาก็บอกว่า กสทช.ไม่อนุญาต ตอนนี้เราอยากจะบอกว่า เราคิดถึง ASTVมาก ” อิราวัลย์ เมฆศรีทองคำประชาชนละแวกสีลม ที่ช่วยสนับสนุน ASTV บอกเล่าความรู้สึกหลังควักเงินในกระเป๋าเพื่อช่วยอุดหนุนสินค้าของ ASTV
      
       เฉกเช่นเดียวกับประชาชนที่เดินมาพบเห็นบูทของ ASTV อย่าง อรนุช สินธุรัตเวช พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านสาทร ได้พูดความในใจถึง ASTV ว่า ทำได้เพียงกำลังเงินเดือนเท่าที่มีอยู่ช่วยซื้อน้ำมันมะพร้าว กลับไป 1 ชุด และก็แซนด์วิชอีก 2 ชิ้น พร้อมทั้งบอกว่า อยากให้คสช.ช่วยคืนความสุขให้แก่คนในประเทศเท่าเทียมกัน
      
       “รู้สึกว่าคสช.คืนความสุขให้ประชาชนมันยังไม่ได้เป็นความจริงสักเท่าไหร่ ส่วนตัวเรารัก ASTVนะ เราติดตามข่าวสารทุกอย่างที่มาจาก ASTV ในตอนนี้ASTV เป็นสื่อที่พูดความจริงมาตลอด เพราะฉะนั้น อาจยังไม่ถูกใจผู้นำประเทศเท่าไหร่ เราคิดว่าการคืนความสุข ยังไม่ได้คืนให้หมดทุกกลุ่ม ซึ่งมันเหมือนกับแบ่งแยก อย่างวอยซ์ทีวีก็อีกกลุ่ม ทีนิวส์ก็อีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนASTV จะอ้างว่าเป็นคู่กรณี เป็นคู่ขัดแย้งซึ่งมันไม่ใช่”
      
       “คนที่ดู ASTV เขาเป็นแค่คนอีกกลุ่มหนึ่งที่รักความถูกต้อง รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากจะฝากถึงคุณประยุทธ์เลยก็คือ ต้องใจกว้างกว่านี้ อย่าให้ต่างชาติเขามองว่าประเทศเราเป็นเผด็จการเกินไป ซึ่งเรารู้สึกว่า การที่ปิดสื่ออย่าง ASTV เหมือนไม่อยากให้เราฟังความจริง แล้วเราจะบอกเลยว่าในฐานะประชาชนคนไทย เราจะไม่เปลี่ยนไปดูช่องอื่น เพราะเราเชื่อว่าคุณสนธิ(ลิ้มทองกุล)กับพนักงาน ASTV จะไม่ทำให้เสียศรัทธาประชาชน”
      
       สำหรับการฝ่าวิกฤติของ ASTV ครั้งนี้ มีทั้งผู้ประกาศข่าว ช่างภาพ ช่างเทคนิค โปรดิวเซอร์ ที่เป็นพนักงานของASTV ต่างมาช่วยกันขายของตั้งแต่ 10 โมงครึ่ง จนถึงบ่าย 2โมง
      
       แอน-จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ผู้ประกาศข่าว ASTV และพิธีกร อธิบายถึงเหตุผลของการออกมาจำหน่ายสินค้าในครั้งนี้ว่า ASTV จะต้องอยู่ให้ได้ แล้วก็คิดว่าคนที่อยากให้มีสื่ออย่าง ASTV ก็คงอยากให้อยู่ต่อไป และถ้าสุดท้ายทำอะไรไม่ได้ อยู่ไม่ได้จริงๆ ก็ต้องปิดแค่นั้นเอง
      
       “ เดือนนี้เงินเดือนที่ขาดอยู่ต้องขายน้ำมันมะพร้าวให้ได้ 2 หมื่นขวด เครื่องทำน้ำด่างอีกร้อยเครื่อง เราว่าน้องบางคนรู้สึกนะ แต่เขาไม่รู้ว่าจะแสดงออกยังไง ก็ได้แต่กัดฟันสู้ไปด้วยกัน แล้วเราก็สู้กันมาเป็น 10 ปีแล้ว อยู่ด้วยกันมาจนไม่ต้องอธิบายกันเยอะ เรารู้ว่าน้องๆทุกคนรู้สถานการณ์ วันนี้ไม่ว่าฝ่ายไหน น้องที่อยู่ฝ่ายไหน เขาออกมาช่วยกันหมด จบนิเทศศาสตร์มาแท้ๆ เป็นช่างกล้อง เป็นโปรดิวเซอร์ วันนี้ต้องมายืนขายของเนี่ย เราเลยบอกน้องๆว่าให้จดจำวันนี้เอาไว้ วันที่สื่อมวลชนจะเป็นได้ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ซึ่งมันไม่แปลกหรอก มันเป็นอาชีพที่สุจริต ได้เงินมาแบบสุจริต แล้วคนที่ช่วยเราเขาก็มีจิตใจที่บริสุทธิ์ด้วย เราว่ามันน่าภูมิใจนะ”
      
       “ แล้วถ้าคิดว่าสื่ออย่าง ASTV เป็นสื่อที่สร้างความแตกแยก เป็นสื่อที่สร้างความขัดแย้ง อย่างที่คุณให้เหตุผลก็ปิดไปเถอะ แต่เราจะอยู่ให้ได้ เราคิดว่า 10 ปีที่ผ่านมา ASTV ได้พิสูจน์อะไรมาเยอะ แต่คนเพียงไม่กี่คนที่มีทัศนคติแบบนี้กับ ASTV มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะคสช.เป็นผู้บริหารประเทศอยู่ขณะนี้ เราก็ไม่รู้นะ ช่องที่เขาเปิดแล้ว คุณให้เหตุผลที่จะปิด ASTV ได้พอที่คนในสังคมจะเข้าใจได้หรือเปล่า”
      
       “เพราะASTV อยู่ได้ด้วยพนักงานที่มีอุดมการณ์แบบนี้ มีเจ้านาย มีเจ้าของสถานี ที่จุดยืนไม่เคยเปลี่ยน มันเป็นความศรัทธาที่ใช้ระยะเวลาสร้างนะ มันไม่ได้แค่วันสองวันแล้วเกิด โดยเฉพาะคนที่เป็นพันธมิตรฯทุกวันนี้ ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ ที่ยังสนับสนุน ASTV เพราะเขาเชื่อว่า คุณสนธิไม่เปลี่ยน ยังไงต้องผ่านไปให้ได้ แต่ถ้ามันจะจบ มันจะไปไม่ได้ ก็ต้องยอมรับสภาพ”
      
       ที่สำคัญคือแม้ว่าการทำหน้าที่สื่ออย่าง ASTV จะถูกแรงกดดันที่หนักหน่วงก็ตาม แม้ว่าจะถูกว่าร้าย และใช้คำถามที่ว่า ไม่อายบ้างหรือที่สื่อมวลชนต้องมายืนขายของ ทว่า กมลพร วรกุล ผู้ประกาศข่าว ASTV กลับยืนยันหนักแน่นว่า ไม่เคยอายใคร และจะสู้จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย หากจะถูกปิดคือปิด แต่ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่สื่อมวลชน และหน้าที่ของพนักงาน ASTV ที่ไม่มีวันทอดทิ้งพี่-น้องร่วมอุดมการณ์
      
       “ เราเชื่อว่า พี่ๆน้องๆ ช่างเทคนิค ช่างภาพ ฝ่ายข่าว ผู้ประกาศ ผู้ดำเนินรายการ เราทำข่าวอ่ะ เราทำสื่อ 10 ปีไม่เคยขายของ แต่วันนี้เราต้องมายืนขายของ มายืนแบบนี้ ชอบก็มี รักก็เยอะ รังเกียจก็มาก เวลามองหน้าเราถ้าถามว่ารู้สึกเขินมั้ย ก็มีบ้าง แต่สุดท้ายแล้วสิ่งเราจะเห็นคือความเป็นหนึ่งเดียวในองค์กรที่อยากจะให้องค์กรนี้เดินหน้าต่อไปได้”
      
       “ คุณสนธิพูดเสมอว่า เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เราทุกคนพร้อมใจนะ ปิดคือปิด แต่ก่อนจะปิดเลือด ASTV คือสู้จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้ายของเรา แล้วลมหายใจสุดท้ายของเรามันจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ล่ะ เราก็ไม่รู้ เรารู้แต่ว่าวันนี้เราชวนพี่-น้องออกมาขายของ อย่างเราถามว่ามี จ็อบที่อื่นมั้ย มีนะ แต่เราเลือกที่จะไม่ทำ เราเลือกที่จะยืนขายของอยู่ข้างทาง ยืนให้คนอื่นบอกว่าดรามาว่ะ ดื้อด้านว่ะ ทำไมไม่ยอมปิดตัวไปแบบเงียบๆ ของเราไม่ได้เรียกว่าดื้อด้านนะ แต่เราไม่เคยยอมจำนนต่ออุปสรรคใดๆในชีวิตต่างหาก แม้ว่าเงินเดือนไม่ออก โฆษณาไม่เข้า คสช.ปิดเรา การเมืองเกลียดขี้หน้าเรา แต่เราก็ไม่ได้ลดละการทำหน้าที่ของเราเลย ถึงแม้ว่าจะไม่มีเงินเข้ามาเลย เราก็ขายของนี่ไง เรามีเลือดนักสู้ที่คนอื่นมองว่ามันเป็นความดื้อด้าน ความดรามา แต่เปล่า เราแค่สู้จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้ายที่เราจะทำได้”
      
       อย่างไรก็ตาม นอกจากการออกจำหน่ายสินค้าย่านสีลมในวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 แล้ว ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2557 ชาว ASTV ก็ได้ออกจำหน่ายสินค้าเป็นครั้งที่ 2 ในย่านเยาวราช วงเวียนโอเดียน - สะพานเหล็ก โดยใช้ชื่อว่า “ปากกัดตีนถีบ” เนื่องจากมีการขี่จักรยานนำสินค้าไปจำหน่ายในย่านดังกล่าว ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นอย่างดีเหมือนเช่นครั้งแรก
      
       การออกมาจำหน่ายสินค้าคราวนี้ พนักงาน ASTVทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาคือสายเลือดASTV ที่ถูกหล่อหลอมให้ทำหน้าที่พูดความจริงด้วยความกล้าหาญ และที่สำคัญเลยก็คือพนักงานASTVไม่เคยขายจิตวิญญาณให้แก่นายทุนคนไหน ASTVออกมาขายของเพียงเพื่อได้มีรายได้และกลับมาทำหน้าที่นำเสนอข่าวสาร และถ้าASTV จะถูกปิดตาย พวกเขาก็บอกว่า ก็จะขอสู้จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย ..ก็เท่านั้น

No comments :

Think different